อิทธิพลของลักษณะเป้าหมายใฝ่สัมฤทธิ์ที่มีต่อแรงจูงใจในการเข้าร่วมกิจกรรมกีฬาของนักกีฬาระดับอุดมศึกษา
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อศึกษาลักษณะเป้าหมายใฝ่สัมฤทธิ์และแรงจูงใจในการเข้าร่วมกิจกรรมกีฬาของนักกีฬาระดับอุดมศึกษา
2. เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันของแรงจูงใจในการเข้าร่วมกิจกรรมกีฬาของนักกีฬาระดับอุดมศึกษา
3. เพื่อหาความแตกต่างของลักษณะเป้าหมายใฝ่สัมฤทธิ์ในระดับต่างกันของนักกีฬาระดับอุดมศึกษา ที่มีผลต่อปัจจัยของแรงจูงใจในการเข้าร่วมกิจกรรมกีฬา
ขอบเขตการวิจัย
เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยเชิงยืนยันของลักษณะเป้าหมายใฝ่สัมฤทธิ์กับแรงจูงใจในการเข้าร่วมกิจกรรมกีฬา ซึงมีขอบเขตการศึกษา ดังนี้
1. กลุ่มประชากรเป็นนักกีฬาที่เข้าร่วมการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศ
ไทย ครั้งที่ 31
2. ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย
ตัวแปรต้น คือ ลักษณะเป้าหมายใฝ่สัมฤทธิ์
ตัวแปรตาม คือ แรงจูงใจในการเข้าร่วมกิจกรรมกีฬา
วิธีดำเนินการวิจัย
วิธีการดำเนินการวิจัยเพื่อทดสอบการศึกษาเกี่ยวกับอิทธิพลของลักษะเป้าหมาย
ใฝ่สัมฤทธิ์ที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการเข้าร่วมกิจกรรมกีฬา มีแนวทางดังต่อไปนี้
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากรที่ใช้ในการศึกษาเป็นนักกีฬา ชาย-หญิง อายุ 18-25 ปี ที่เข้าร่วมการ
แข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 31 ปี พ.ศ. 2546 จำนวน 5,623 คน ผู้วิจัยทำการสุ่มแบบหลายขั้นตอน ( Multistage Random Sampling ) โดยคิดเป็นสัดส่วนในแต่ละชนิดกีฬา และคำนวนขนาดของกลุ่มตามสูตรของ ยามาเน่ ( Yamane, 1967, pp. 886-887 )
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย 3 ส่วน
ส่วนที่ 1. เป็นแบบสอบถามข้อมูลเบื้องต้น
ส่วนที่ 2. เป็นแบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับความสำเร็จในการเล่นกีฬา ฉบับภาษาไทยของ ลี วงศ์จตุรภัทร และ ฮาร์เมอร์ ( Li, Vongjaturapat, & Harmer, 1994 )แบบสอบถามฉบับนี้มีค่าความเชื่อมั่นด้านลักษณะที่มุ่งในการกระทำหรืองาน ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้หาความเชื่อมั่นของแบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับความสำเร็จในการเล่นกีฬามีค่าเท่ากับ .80 และด้านลักษณะเป้าหมายใฝ่สำฤทธิ์ที่มุ่งเปรียบเทียบผู้อื่น มีค่าความเชื่อมั่นคงที่ภายในเท่ากับ .85 มีจำนวนข้อคำถาม 13 ข้อ และในแต่ละข้อมีลักษณะแบบอัตราส่วนประมาณค่า โดยกำหนดคำถามที่มีลักษณะมุ่งในการกระทำหรืองาน คือ ข้อ 2, 5, 7, 8, 10, 12, และ 13 สำหรับข้อคำถามที่มุ่งเปรียบเทียบผู้อื่น คือ ข้อ 1, 3, 4, 6, 9, และ 11 สำหรับการแบ่งกลุ่มลักษณะเป้าหมายใฝ่สำฤทธิ์ ระดับสูงหรือต่ำนั้นใช้วิธีการรวมคะแนนข้อคำถามของแต่ละด้านหาร 2
ส่วนที่ 3 เป็นแบบสอบถามแรงจูงใจในการเข้าร่วมกิจกรรมกีฬา ฉบับภาษาไทย ของ พิธพรชัยกุล ( Pithapornchaikul, 2003 ) มีข้อคำถาม 30 ข้อ แต่ละข้อจะมีลักษณะแบบอัตราส่วนประมาณค่า การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้หาความเชื่อมั่นภายในของแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ .92 และใช้วิธีหาค่าสัมประสิทธ์สหสัมพันธ์ของ ครอนบาค ( Cron bach’s Alpha Coefficient )มีค่าความเชื่อมั่นภายใน .55-.83
จะเห็นได้ว่า แบบสอบถามทั้ง 2 ฉบับที่ผู้วิจัยนำมาใช้เป็นเครื่องมือนี้ เป็นแบบสอบถามที่มีระดับความเชื่อมั่นสูง จึงสรุปได้ว่าแบบสอบถามทั้ง 2 ฉบับมีคุณค่าเพียงพอที่จะนำแบบสอบถามนี้ไปใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
วิธีการสร้างเครื่องมือและเทคโนโลยีในการวิจัย
เนื่องจากผู้วิจัย ได้นำเอาแบบสอบถามของวี วงศ์จตุรภัทรและฮาร์เมอร์ ฉบับภาษาไทยเพื่อจำแนกลักษณะเป้าหมายใฝ่สัมฤทธิ์ที่มุ่งในการกระทำหรืองานและลักษณะเป้าหมายใฝ่สัมฤทธิ์ที่มุ่งเปรียบเทียบผู้อื่นของนักกีฬา และใช้แบบสอบถามแรงจูงใจในการเข้าร่วมกีฬาฉบับภาษาไทยของ พิธพรชัยกุล เพื่อวัดเหตุผลหรือแรงจูงใจในการพิจารณาหรือตัดสินใจเจ้าร่วมกิจกรรมกีฬาของนักกีฬา ซึ่งแบบสอบถามทั้ง 2 ชุด เป็นแบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่นในระดับสูง ส่งผลให้แบบสอบถามทั้ง 2 ฉบับมีคุณภาพมากที่จะนำไปใช้ในการเก็บข้อมูลได้เป็นอย่างดี
การเก็บรวบรวมข้อมูล
ผู้วิจัยคำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของยามาเน่ ได้กลุ่มตัวอย่างอย่างน้อย 400 คน ผู้วิจัยได้ทำการเลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน ได้กลุ่มตัวอย่าง 594 คน ผู้วิจัยได้เก็บข้อมูลตามจำนวน 594 คน เพื่อคัดเลือกแบบสอบถามที่สมบูรณ์มากที่สุด 400 ชุด โดยตัดแบบสอบถามที่ตอบคำถามไม่ครบหรือตอบ 2 คำตอบใน 1 ข้อ เป็นต้น
การวิเคราะห์ข้อมูล
ผู้วิจัยนำข้อมูลมาวิเคราะห์ด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ ดังนี้
1. ตรวจสอบความสมบูรณ์ของข้อมูล
2. การวิเคราะห์สถิติพื้นฐาน คำนวนหาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
3. การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันโดยใชโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติลิสเรล
( LISREL ) เวอร์ชั่น 8.53 วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันตรวจสอบความกลมกลืนของโมเดลกับข้อมูลเชิงประจักษ์ ทำการประมาณค่าพารามิเตอร์โดยวิธี ไลด์ลิฮู้ดสูงสุด
( Maximum Likelihood Estimate: ML ) ค่าสถิติที่ใช้ในการตรวจสอบความกลมกลืนของโมเดลกับข้อมูลลเชิงประจักษ์ ประกอบด้วย
3.1 ค่าสถิติวัดความกลมกลืน ( Goodness of Measures ) ใช้ตรวจสอบความ
เที่ยงตรงของโมเดล
3.2 ค่าสถิติไค-สแควร์ ( Chi-square )
3.3 ดัชนีรากของค่าเฉลี่กำลังสองของส่วนเหลือ ( Root Mean Square Residual: RMR )
3.4 ดัชนีรากของค่าเฉลี่กำลังสองของส่วนเหลือมาตรฐาน ( Standard RMR:SRMR )
3.5 ดัชนีวัดความกลมกลืน ( Goodness of Fit Index: GFI )
3.6 ดัชนีวัดระดบความกลมกลืนที่ปรับแก้แล้ว ( Adjected Goodness of Fit Index: AGF ) ควรมีค่าไม่ต่ำกว่า .90
3.7 ดัชนีความเป็นปกติ ( Bentler and Bonett’s Normed-Index:NFI )
3.8 ดัชนีวัดระดับความกลมกลืนเปรียบเทียบ ( Bentler’s Comparative Fit Index:CFI )
3.9 ดัชนีความคลาดเคลื่อนในการประมาณค่าพารามิเตอร์ ( Root Mean Square Error of Approximation: RMSEA )
4. การวิเคราะห์ความแปรปรวนตัวแปรตามหลายตัว ใช้สถิติการวิเคราะห์ความแปรปรวนตัวแปรหลายตัวแปร ( Multivariate Analysis of Variance: MANOVA ) ใช้วิธี Stepdown ทำการทดสอบความมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัย วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยั่งยืนของปัจจัยแรงจูงใจในการเข้าร่วมกิจกรรมกีฬาโดยใช้สถิติลิสเรล และการวิเคราะห์ความแปรปรวนตัวแปรตามหลายตัวแปร ( Multivariate Analysis of Variance: MANOVA ) โดยใช้วิธี Stepdown หากพบว่ามีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จะทำการเปรียบเทียบความแตกต่างรายคู่ ด้วยวิธีการของเชฟเฟ่ ( Scheffe )
ผลการนำไปใช้
เนื่องจากแบบสอบถามที่ใช้เป็นสอบถามที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถใช้วัดแรงจูงใจในการเข้าร่วมกิจกรรมกีฬาได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังพบว่ากลุ่มตัวอย่างที่มีลักษณะเป้าหมายใฝ่สัมฤทธิ์ที่มุ่งในการกระทำหรืองาน (Task) และกลุ่มลักษณะเป้าหมายใฝ่สัมฤทธิ์ที่มุ่งเปรียบเทียบผู้อื่น (Ego) มีแรงจูงใจในการเข้าร่วมกิจกรรมกีฬาที่แตกต่างกัน และน่าจะศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลหรือบุคลิกภาพของนักกีฬา เพื่อเปรียบเทียบปัจจัยที่น่าจะเกี่ยวข้องกับแรงจูงใจในการเข้าร่วมกิจกรรมกีฬา